อิทธิพลวัฒนธรรมเขมรในสุโขทัยผ่าน
“งานศิลปกรรม”
บทนำ
อิทธิพลวัฒนธรรมเขมรเริ่มมีบทบาทในพื้นที่ประเทศไทยนับตั้งแต่พุทธศตวรรษที่
12 เป็นต้นมาและปรากฏอย่างเด่นชัดในพุทธศตวรรษที่ 17
ซึ่งตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 และได้แผ่อิทธิพลแพร่กระจายไปในหลายพื้นที่ของประเทศไทย
ปัจจัยหนึ่งก็เป็นผลมาจากแรงผลักดันทางการค้าและต้องการออกทะเลทางอ่าวเมาะตะมะ
ซึ่งเส้นทางในการขยายอิทธิพลดังกล่าวได้ครอบคลุมพื้นที่ศรีสัชชนาลัยและสุโขทัย
ดังจะเห็นได้จากหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับศิลปกรรมเขมรในพื้นที่
ซึ่งต่อมาวัฒนธรรมบางส่วน (cultural trait)
ได้กลายเป็นรากฐานที่สำคัญของวัฒนธรรมการเกิดขึ้นของรัฐสุโขทัยในเวลาต่อมา
ดังนั้นงานศึกษาชิ้นนี้จึงมุ่งนำเสนอให้เห็นถึงอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรในสุโขทัยผ่าน “งานศิลปกรรม”
ตั้งแต่ช่วงระยะเวลาก่อนการเกิดขึ้นของรัฐสุโขทัยตลอดจนสมัยสุโขทัย ทั้งในพื้นที่สุโขทัยและศรีสัชชนาลัย
อิทธิพลวัฒนธรรมเขมรในประเทศไทยก่อนการเกิดรัฐสุโขทัย
บริบททางการเมืองของเขมรในช่วงก่อนพุทธศตวรรษที่
17
โดยภาพรวมแล้วจะปรากฏในภาวะของความขัดแย้งระหว่างชนชั้นปกครองและการแย่งชิงราชสมบัติในราชสำนักเขมร ส่วนอิทธิพลทางวัฒนธรรมเขมรที่แพร่กระจายเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทยนั้นมักปรากฏในลักษณะของการขยายพระราชอำนาจทางการเมืองการปกครองเป็นหลักประกอบกับความเชื่อศาสนาพราหมณ์
เป็นเครื่องมือทางการเมืองรูปแบบหนึ่ง เช่น รัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 กับการปราบปรามเมืองต่างๆ หรือ รัชสมัยพระเจ้าอุทัยทิตยวรมันที่ 2 กับการสร้างปราสาทสด๊กก๊อกธม อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว เป็นต้น สำหรับในช่วงรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่
7 บริบททางด้านเศรษฐกิจ
โดยเฉพาะทางการค้าได้กลายเป็นแรงผลักดัน/ปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลทำให้เขมรจำเป็นต้องขยายอิทธิพลเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทยอย่างเข้มข้น
กล่าวคือ ในช่วงรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เส้นทางการค้าทางทะเลตอนใต้
บริเวณแหลมมลายูถูกกลุ่มโจฬะยึดครอง ขอมจึงจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางการค้าออกสู่ทะเลเส้นทางอื่น
ดังนั้นการขยายอำนาจทางการเมืองและวัฒนธรรมของเขมรในช่วงเวลาดังกล่าวจึงแพร่กระจายเข้ามาสู่ประเทศไทยอย่างเข้มข้น
ปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดการแพร่กระจายเข้ามาสู่ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา อาจเป็นเพราะ
ประการแรก ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยามีเมืองที่เป็นฐานอำนาจของขอมตั้งอยู่ คือ
ลวปุระ หรือลพบุรี (นับตั้งแต่รัชสมัยพระเจ้า
สุริยวรมันที่ 1 เป็นต้นมา)[1] ประการที่สอง
หากขยายตัวไปทางทิศเหนือและตะวันออกต้องเผชิญกับรัฐจาม (จามปา) และรัฐเวียดซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งและศัตรูทางการเมือง
และประการสุดท้ายคือเส้นทางเดินเรือทางทิศใต้อยู่ภายใต้อำนาจและการควบคุมของโจฬะ
ด้วยเหตุผลดังกล่าวจึงทำให้เกิดเส้นทางการค้าจากละโว้
ไปยังกำแพงเพชรจนถึง เมืองพันและไปออกอ่าวเมาะตะมะ (เมืองเมาะตะมะ) ขณะเดียวกันจารึกในปราสาทพระขรรค์
ที่เมืองพระนครได้กล่าวถึงเมืองต่างๆในพื้นที่ภาคกลางในลุ่มน้ำเจ้าพระยาและภาคตะวันตกของประเทศไทย
อาทิ สุวรรณปุระ (จังหวัดสุพรรณบุรี) ศัมพูกปัฏฏนะ
(จังหวัดราชบุรี) ชัยราชบุรี (วัดมหาธาตุ จังหวัดราชบุรี), ศรีชยสิงบุรี
(เมืองสิงห์และปราสาทเมืองสิงห์ จังหวัดกาญจนบุรี), ศรีชยวัชรบุรี
(วัดมหาธาตุและวัดกำแพงแลง จังหวัดเพชรบุรี) ลโวทยปุระ (จังหวัดลพบุรี)[2]
รวมทั้งเมืองอื่นๆ ทั้งหมด 23 แห่ง[3]
ซึ่งเมืองดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่ล้วนแล้วอยู่ภายใต้อิทธิพลเขมร
ประกอบกับความเชื่อทางศาสนาพุทธมหายานและศาสนาพราหมณ์ในแต่ละท้องที่ อย่างไรก็ตามภายหลังจากพระเจ้า
ชัยวรมันที่ 7 สวรรคตอำนาจทางการเมืองของเขมรในพื้นที่ประเทศไทยก็เริ่มลดน้อยลง
จนเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดรัฐต่างๆขึ้นมาในพื้นที่ประเทศไทย
ศิลปกรรมในวัฒนธรรมเขมร
และที่ได้รับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรที่ปรากฏในพื้นที่สุโขทัยและศรีสัชชนาลัย
ก่อนการเกิดขึ้นของรัฐสุโขทัยในพื้นที่ดังกล่าว
วัฒนธรรมเขมรได้แพร่กระจายเข้ามาสู่ในพื้นที่ด้วยเช่นกัน ดังเห็นได้จาก
หลักฐานทางโบราณคดีที่เป็นงานศิลปกรรมในวัฒนธรรมเขมร
หลักฐานหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความเก่าแก่ของอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรได้ชัดเจนคือ
โบราณสถานปราสาทเขาปู่จ่า ที่บ้านนาสระลอย ตำบลคิรีมาศ อำเภอคิรีมาศ จังหวัดสุโขทัย
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมศิลปะเขมรแบบบาปวน อาคารก่ออิฐและขัดฝนจนเรียบ ปัจจุบันอยู่ในสภาพทรุดโทรมและกำหนดช่วงเวลาของอิทธิพลเขมรที่เข้ามาในพื้นที่ไว้ประมาณพุทธศตวรรษที่
17[4] ดังนั้นจึงเป็นหลักฐานหนึ่งที่อาจสะท้อนให้เห็นถึงการอยู่ภายใต้อำนาจทางการปกครองของขอม
หรือ อาจหมายถึงการนับถือศาสนาที่รับมาจากวัฒนธรรมเขมรผ่านการติดต่อสัมพันธ์ในเชิงการค้าแลกเปลี่ยนระหว่างกัน
สำหรับปราสาทเขาปู่จ่าเป็นอาคารประธานหลังเดียว 1 องค์
ซึ่งจากการขุดแต่งพบเศียรพระโพธิ์สัตว์อวโลกิเตศวรและประติมากรรมเทวรูปสตรี
สำหรับประติมากรรมพระอวโลกิเตศวรนั้นมีลักษณะสำคัญแบบบาปวนปรากฏ คือ แนวเส้นผมและคิ้วต่อกันเป็นรูปปีกกาและพระเนตรเปิด
จากการขุดค้นทางโบราณคดีดังกล่าว
ทำให้สันนิษฐานได้ว่าชุมชนในบริเวณนี้อาจนับถือพุทธศาสนานิกายมหายานซึ่งรับความเชื่อมาจากวัฒนธรรมเขมร[5] ในพื้นที่เมืองสุโขทัย
(เดิม) และบริเวณโดยรอบพบหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวกับศิลปกรรมเขมรที่สะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรที่เข้ามาปกครองในพื้นที่อย่างเด่นชัด
กล่าวคือ โบราณสถานในวัฒนธรรมเขมรในพื้นที่ ได้แก่ “ศาลตาผาแดง” สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในศาสนาฮินดูหรือศาสนาพุทธฝ่ายมหายาน
ส่วนรูปแบบของอาคารเป็นศิลปะเขมรแบบบายนอย่างชัดเจน กล่าวคือ ประการแรก
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างคือศิลาแลงซึ่งมีขนาดใหญ่ซึ่งเป็นวัสดุที่นิยมโดยทั่วไปในการก่อสร้างปราสาทในวัฒนธรรมเขมรแบบบายน
ประการที่สองฐานบัวลูกฟักขนาดใหญ่เต็มท้องไม้
ประการที่สามการเพิ่มมุมที่ทำให้มุมประธานใหญ่กว่ามุมประกอบและการค้นพบโบราณวัตถุที่เป็นประติมากรรมในวัฒนธรรมเขมร
คือเทวดาและเทวสตรี จำนวน 6 องค์ในศิลปะแบบบายน[6]
ซึ่งทำให้เห็นถึงความเข้มข้นของอำนาจทางวัฒนธรรมเขมร,
“วัดพระพายหลวง” (รูปภาพที่ 5) เป็นปราสาทที่ก่อด้วยศิลาแลง ตั้งทางทิศเหนือนอกตรีบูร (เขตเมืองเก่า)
มีคูน้ำล้อมรอบตำแหน่งของปรางค์ทั้ง 3 จะเรียงตัวกันในแนวทิศเหนือ-ใต้
และลักษณะอาคารสร้างขึ้นตามรูปแบบของศิลปะเขมรแบบบายนและเกี่ยวข้องกับความเชื่อทางศาสนาพุทธมหายาน
สำหรับวัดแห่งนี้ยังคงมีความสำคัญอย่างต่อเนื่องในระยะเวลาต่อมา
โดยเห็นได้จากการมีวิหารด้านหน้าและอุโบสถด้านหลัง[7] และเจดีย์สี่เหลี่ยมซึ่งสันนิษฐานว่าน่าจะรับต้นแบบจากเจดีย์สี่เหลี่ยมวัดกู่กุด
จังหวัดลำพูน[8]
รวมทั้งยังพบโบราณวัตถุพระพุทธรูปหินทรายปางสมาธิประดิษฐานในบรรพแถลง
พระพุทธรูปดังกล่าวมักพบตามศาสนสถานที่สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เช่น
ปราสาทตาพรหม, ปราสาทพระขรรค์, เป็นต้น[9] ส่วน
“วัดศรีสวาย” เป็นวัดที่ถูกแปรสภาพและมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องจนยากแก่การกำหนดอายุสมัยได้และมีคูน้ำภายในเป็นรูปตัวยู
(U) อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่า
วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในวัฒนธรรมเขมรด้วยรูปแบบ ปราสาทแบบเขมร 3 หลัง
เรียงกันไปในทิศตะวันออก-ตก ก่อด้วยศิลาแลง ซึ่งเป็นแบบแผนในศิลปะเขมรแบบบายน
(รัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7) สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในศาสนาพราหมณ์ (เทวสถาน)[10]
เทียบได้กับพระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี[11]
ส่วนในพื้นที่เมืองศรีสัชชนาลัย
ได้พบหลักฐานทางโบราณสถานที่เกี่ยวกับศิลปกรรมเขมรด้วยเช่นกัน 3 แห่ง ได้แก่
“วัดเจ้าจันทร์” (รูปภาพที่ 1) ซึ่งเป็นศาสนสถานที่ร่วมสมัยกับวัดพระพายหลวง
เป็นปราสาทหลังเดียวและได้รับการบูรณะต่อเติมในสมัยสุโขทัย
โดยสังเกตได้จากวิหารทางด้านหน้าของปราสาทและหลักฐานชิ้นสำคัญที่ช่วยยืนยันถึงวัฒนธรรมเขมรได้อย่างชัดเจนคือ
จากการขุดค้นชั้นดินวัฒนธรรมเขมร พบตลับเครื่องถ้วยแบบเขมร, “วัดชมชื่น”
ปัจจุบันโบราณสถานที่ปรากฏอยู่บนพื้นดินนั้นสร้างขึ้นในสมัยสุโขทัยทั้งสิ้น
หากแต่จากการขุดค้นทางโบราณคดีทำให้พบว่ามีการก่อทับฐานอาคาร 2 ครั้ง[12]
ประกอบกับพบเครื่องถ้วยเขมรแบบเคลือบสีน้ำตาล
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่าก่อนการเกิดขึ้นทั้งสุโขทัยและศรีสัชชนาลัยต่างก็เป็นผลสืบเนื่องมาจากวัฒนธรรมเขมรที่เกิดขึ้นก่อนในแต่ละพื้นที่โดยเห็นได้จากศาสนสถานที่ปรากฏ
หรืออีกนัยหนึ่งคือการสะท้อนให้เห็นกลุ่มคนในวัฒนธรรมขอมได้เข้ามามีบทบาทและปกครองในพื้นที่สุโขทัย
อย่างน้อยสภาพสังคมและวัฒนธรรมในช่วงระยะเวลาดังกล่าวย่อมได้รับอิทธิพลจากเขมรโดยตรงและเกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรมดังจะได้กล่าวในหัวข้อถัดไป
นอกจากนี้หากประกอบกับข้อความจากศิลาจารึกหลักที่ 2 วัดศรีชุม ที่กล่าวถึงกลุ่มขอมสบาดโขลญลำพงที่มีอำนาจเหนือสุโขทัย
ยิ่งตอกย้ำให้เห็นถึงอำนาจเขมรในขณะนั้น ต่อมาแม้ว่าภายหลังขอมจะหมดอำนาจลงแต่
การสืบเนื่องทางวัฒนธรรมเขมรในแง่ศิลปกรรมนั้นยังคงปรากฏอยู่ กล่าวคือ
งานศิลปกรรมเขมรโดยเฉพาะศาสนสถานนั้นยังคงได้รับอิทธิพลเขมรเข้ามาปรับใช้ กล่าวคือ
งานศิลปกรรมในระยะแรกของสุโขทัยรับอิทธิพลจากเขมรค่อนข้างมาก เช่น เจดีย์บริวาร
วัดมหาธาตุเมืองสุโขทัย โดยเฉพาะเจดีย์ประจำทิศสี่องค์
มีลักษณะเป็น “เจดีย์ทรงปราสาทแบบสุโขทัย”
มีรูปแบบเค้าโครงคล้ายคลึงกับปราสาทแบบขอม ก่อด้วยศิลาแลง กล่าวคือ ส่วนฐาน
คือฐานบัวลูกฟัก
ถัดขึ้นมาส่วนเรือนธาตุมีซุ้มจระนำทั้งสามด้านภายในมีประติมากรรมพระพุทธรูปยืนหรือลีลา
ขณะที่ส่วนยอดเหนือเรือนธาตุคือชั้นซ้อนแบบปราสาทขอม (ซ้อนตรงส่วนเรือนธาตุขึ้นไป)
หากแต่รายละเอียดได้แปรสภาพไปเป็นแบบที่เรียบง่าย แต่ยังคงมีการประดับ บันแถลง
(กลีบขนุน)
ตามระเบียบแบบขอมอยู่ส่วนยอดบนสุดปัจจุบันได้ทลายลงหมดแล้วหากแต่มีการสันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นดอกบัว[13]
จากรูปแบบดังกล่าวทำให้สามารถกำหนดอายุของเจดีย์บริวารได้ว่า
น่าจะสร้างขึ้นในระยะแรกที่สุโขทัยรับรูปแบบเขมร
ขณะเดียวกันก็มีข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับเจดีย์องค์ประธานด้วยว่าแต่เดิมก่อนหน้าที่จะเป็นเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์นั้น
น่าจะเคยเป็นเจดีย์ทรงปราสาทแบบเดียวกับเจดีย์บริวารแต่มีขนาดใหญ่กว่า[14]
แต่อย่างน้อยจากการศึกษาทางประวัติศาสตร์ศิลปะที่ผ่านมาแม้จะยังไม่พบเจดีย์ที่อยู่ข้างในแต่บริเวณฐานการสร้างซ้อนทับเจดีย์ประธานจึงทำให้เชื่อว่าเป็นการสร้างซ้อนทับ[15]
อย่างไรก็ตามสำหรับรูปทรงปัจจุบันของเจดีย์ประธานวัดมหาธาตุ สุโขทัย
ก็สะท้อนให้เห็นถึงการรับอิทธิพลวัฒนธรรมเขมรผ่านแบบแผนด้านศิลปกรรมด้วยเช่นกัน
แต่ได้นำมาผสมผสานกับอิทธิพลอื่นๆที่เข้ามาในสุโขทัย กล่าวคือ
ในส่วนของเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์นั้น ส่วนกลาง
หรือส่วนเรือนธาตุของเจดีย์ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ที่มีลักษณะเพรียวขึ้นนั้นแปรสภาพ/ปรับปรุงจากส่วนเรือนธาตุขนาดใหญ่ในแบบแผนของศิลปะเขมร
ประกอบกับการประดับกลีบขนุนที่มุมบนเรือนธาตุ[16]
ที่สะท้อนให้เห็นถึงการนำเอารูปแบบศิลปกรรมเขมรมาประยุกต์หรือปรับใช้
ผสมผสานเข้ากับอิทธิพลจากวัฒนธรรมชุดอื่น เช่น
ส่วนยอดที่เป็นทรงดอกบัวตูมและถัดขึ้นไปเป็นปล้องไฉนและปลียอดตามลำดับนั้น
อาจสะท้อนถึงอิทธิพล (ศิลปะ) พุกาม และส่วนฐานที่เป็นลักษณะฐานบัวลูกแก้วอกไก่คาด
2 เส้น ได้สะท้อนให้เห็นถึงวัฒนธรรมล้านนา (ด้านศิลปกรรม) มาผสมผสานด้วยเช่นกัน
จนเกิดเป็นรูปทรงที่เป็นเอกลักษณ์ในช่วงเวลาหนึ่งของสุโขทัย
หรืออีกนัยหนึ่งสะท้อนถึงการติดต่อหรือความสัมพันธ์ระหว่างรัฐหรือการแลกรับ
ปรับใช้ทางวัฒนธรรมระหว่างรัฐนั้นเอง
ส่วนที่ศรีสัชชนาลัย
“วัดพระศรีรัตนมหาธาตุเชลียง” แม้ว่าเจดีย์ประธานจะเป็นรูปแบบงานศิลปะอยุธยาตอนต้น
(สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมไตรโลกนาถ ราวต้นพุทธศตวรรษที่
21) แล้วก็ตาม
หากแต่ร่องรอยบริเวณโดยรอบยังปรากฏให้เห็นถึงอิทธิพลงานศิลปกรรมแบบขอม คือ
“ปราสาทเฟื้อง” หรือยอดซุ้มประตูทางเข้าวัดฯ จะเห็นได้ว่ามีลักษณะของอิทธิพลศิลปกรรมเขมรปรากฏอยู่
ประการแรก ปูนปั้นรูปใบหน้าขนาดใหญ่ทั้ง 4 ทิศ
คล้ายกับที่มีอยู่ที่ยอดประตูเมืองนครธม ประการที่สอง
ยอดทรงดอกบัวตูมประดับโคนด้วยกลีบขนุนซึ่งอาจปรับปรุงมาจากปราสาทเขมร
ประการที่สาม รูปแบบงานปูนปั้นแบบนูนต่ำบริเวณฐานของปราสาทเฟื้องนั้นยังคงมีลักษณะที่เป็นแบบเขมรอยู่
กล่าวคือ ใบหน้าเหลี่ยม หน้าผากกว้าง ท่าร่ายรำและการนุ่งผ้า เป็นต้น[17] จากที่กล่าวมาทั้งหมดในข้างต้นจึงสะท้อนให้เห็นถึงพัฒนาการของงานศิลปกรรมสุโขทัยและศรีสัชชนาลัยในวัฒนธรรมเขมรที่สืบเนื่องมาตลอดตั้งแต่ก่อนสมัยสุโขทัยจนกระทั่งถึงสมัยสุโขทัยก็ตาม
อีกทั้งงานศิลปกรรมดังกล่าวยังเป็นภาพสะท้อนทางประวัติศาสตร์สังคมและวัฒนธรรมของสุโขทัยที่รับอิทธิพลเขมรด้วยเช่นกัน
ภาพสะท้อนอิทธิพลเขมรผ่านงาน
“ศิลปกรรม”
นอกเหนือจากพัฒนาการงานศิลปกรรมในวัฒนธรรมเขมรที่ปรากฏในสุโขทัยและศรีสัชชนาลัย
งานศิลปกรรมดังกล่าวยังเป็นเสมือนภาพแทนและเป็นสิ่งที่ยืนยัน/บ่งบอกของการรับวัฒนธรรมเขมรที่นอกเหนือจากแบบแผนทางศิลปกรรมแล้วยังรวมไปถึงวิธีคิด/ระบบความเชื่อ
การจัดระเบียบทางสังคมและองค์ความรู้ต่างๆ ดังนั้นอิทธิพลทางวัฒนธรรมเขมรจึงมีบทบาทสำคัญต่อพัฒนาการของสุโขทัยนับตั้งแต่ภายหลังสถาปนาขึ้นมา
ซึ่งงานศิลปกรรมสามารถสะท้อนให้เห็นได้ 3 ประการ
ดังนี้
ประการแรก : ด้าน“การจัดการพื้นที่”
องค์ความรู้ทางวัฒนธรรมขอมในมิติของการจัดการพื้นที่
ประการหนึ่งที่สำคัญคือ รูปแบบของผังเมืองและการจัดตำแหน่งความสำคัญของพื้นที่
กล่าวคือ อิทธิพลขอมได้ส่งผลต่อรูปแบบผังเมืองของสุโขทัย
ซึ่งเห็นได้ชัดจากประการแรก รูปร่างผังเมืองที่เป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าอันเป็นระเบียบการสร้างเมืองแบบขอม
เห็นได้ชัดจากผังของวัดพระพายหลวง ขณะที่ตัวเมืองสุโขทัยนั้นก็ได้รับอิทธิพลผังเมืองแบบขอมเช่นเดียวกันคือการทำเป็นผังเมืองสี่เหลี่ยม
หากแต่เนื่องด้วยบริบททางสภาพแวดล้อมดังนั้นการทำคูน้ำล้อมรอบนั้นจึงมีการขุดขยายถึงสามชั้นเพื่อให้สอดรับกับการกักเก็บน้ำให้มีปริมาณที่เพียงพอ
อีกทั้งยังกำหนดพื้นที่กึ่งกลางของเมืองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล
สำหรับสุโขทัยก็หมายถึงตำแหน่งที่ตั้งของ “วัดมหาธาตุ”
ที่อยู่กลางเมืองเป็นสัญลักษณ์แทนเขาพระสุเมรุเช่นเดียวกับศาสนสถานของขอม
และอีกประการหนึ่งคือ การสร้างคูน้ำล้อมรอบศาสนสถาน
ซึ่งหากดูจากแผนผังศาสนสถานต่างๆจะพบว่าล้วนแล้วแต่มีคูน้ำล้อมรอบทั้งสิ้น
ประกอบกับมีการขุดสระตระพังต่างๆภายในเมือง เช่น วัดมหาธาตุ วัดตระพังเงิน
วัดตระพังสอ ฯลฯ ในอีกแง่หนึ่งการสร้างคูน้ำล้อมรอบศาสนสถานก็เป็นวิธีการจัดการน้ำรูปแบบหนึ่งในการระบายน้ำและชักน้ำเข้ามาในเมือง
รวมไปถึงการกักเก็บน้ำไว้ใช้
ควบคู่ไปกับระบบความเชื่อที่ให้ความหมายน้ำที่อยู่รอบพุทธศาสนสถานว่าเปรียบเสมือน
“ทะเลสีทันดร”
อีกทั้งยังมีความหมายเป็นนทีสีมาหรือการใช้คูน้ำกำหนดเขตศักดิ์สิทธิ์
จึงเป็นแนวคิดของการผสมผสานและประยุกต์ใช้ระหว่างศาสนากับระบบชลประทาน
ซึ่งชุดความคิดดังกล่าวไม่พบที่ศรีสัชชนาลัยเพราะในแง่หนึ่งบริบททางสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน
กล่าวคือ เมืองศรีสัชชนาลัยมีแม่น้ำยมไหลผ่านเป็นแม่น้ำสายสำคัญ
ต่างจากเมืองสุโขทัยที่มีเพียงแม่น้ำแม่รำพันไหลผ่านเท่านั้นและห่างไกลจากแม่น้ำสายสำคัญ[18]
(แม่น้ำยม)
ประการที่สอง :
ด้าน“ระบบความเชื่อและสภาพสังคม”
มิติหนึ่งของวัฒนธรรมเขมรที่แพร่กระจายเข้ามาในพื้นที่สุโขทัยและศรีสัชชนาลัยคือ
“ศาสนาพราหมณ์” ดังที่ได้กล่าวไปในตอนต้นแล้วว่าศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาที่ขอมส่งอิทธิพลมาโดยตรงควบคู่กับอำนาจทางการปกครองโดยเห็นได้จากศาสนสถานต่างๆในพื้นที่
ประการหนึ่งศาสนาพราหมณ์ที่เข้ามานั้นมีชุดความคิดที่เรียกว่า “ไศพาคม”
(ศาสนาพระศิวะ) ซึ่งเป็นความเชื่อที่ใช้อ้างในการประกอบพิธีกรรมและเป็นพิธีที่เสริมความเชื่อได้ผสมผสานให้ผี[19]
ในท้องถิ่นกลายเป็นผีที่ศักดิ์สิทธิ์หรือมีสถานภาพเป็น “เทพยดาอารักษ์”
ตัวอย่างข้อความจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวว่า “...มีพระขพุงผีเทพดาในเขาอันนั้น
เป็นใหญ่กว่าทุกผีในเมืองนี้ ขุนผู้ใดถือเมืองสุโขทัยนี้แล้ ไหว้ดีพลีถูก
เมืองนี้เที่ยง เมืองนี้ดี ผิไหว้บ่ดี พลีบ่ถูก ผีในเขาอั้นบ่คุ้ม บ่เกรง
เมืองนี้หาย...” [20] นอกจากนี้ในระยะเวลาต่อมาแม้ว่ารัฐสุโขทัยจะสถาปนาขึ้นมาเป็นรัฐแล้วแต่ความเชื่อเหล่านี้ก็ยังปรากฏอยู่และได้ผสมผสานกับความเชื่อในระยะหลัง
(ศาสนาพุทธหินยาน) ดังข้อความจากจารึกหลักที่ 64 (จารึกคำปู่สบถ)[21]
ดังข้อความที่ว่า “...ผิดปดสัจจาคำ ชื่อไศพาคม พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
ทั้งหลายอันพ้นไปจงอย่าให้รู้จัก ชื่อฝูงพระพุทธอันจักมาปางหน้าก็อย่าให้รู้จัก
ศาสนาทั้งไศพาคมก็อย่าให้รู้จักศาสตร์
ชื่อเถรมหาเถรอันจำนงรู้นี้เสมอดังกูตัดคอแล...”[22]
ยิ่งไปกว่านั้นศาสนาพราหมณ์ยังเป็นเสมือนเครื่องมือหนึ่งของผู้ปกครองในการสร้างเสริมความศักดิ์สิทธิ์และสร้างเสริมขวัญและกำลังใจต่อผู้อยู่ภายใต้การปกครอง
ดังกรณีของพระมหาธรรมราชาพญาลิไทประดิษฐานรูปเคารพในศาสนาพราหมณ์ในหอเทวลัยมหาเกษตร[23] ที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น
ซึ่งปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 4 (จารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร) ในตอนท้ายด้านที่ 1
กล่าวถึงเรื่องประดิษฐานรูปพระอิศวร พระนารายณ์ พระ(คเณศ) ในเทวลัยมหาเกษตรที่ป่ามะม่วง[24] ส่วนในระดับของไพร่
หรือ
ประชาชนทั่วไปหลักฐานหนึ่งที่ปรากฏเกี่ยวกับความเชื่อที่สัมพันธ์กับศาสนสถานในศิลปะขอมคือ
“ศาลตาผาแดง” กล่าวคือ จากการขุดค้าทางโบราณคดีบริเวณศาลตาผาแดง
ชั้นดินระยะการใช้งานปราสาทพบกระดองเต่าและกระดูกสัตว์ ตลอดจนแวดินเผาและเครื่องถ้วยจากจีนและทางภาคเหนือ[25]
ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการใช้งานศาสนสถานในการประกอบพิธีกรรมบางอย่าง
(อาจเกี่ยวข้องกับการเซ่นไหว้สังเวยบูชาผี ?) ดังนั้นหลักฐานทางศิลปกรรมขอม
ที่เป็นศาสนสถานในมิติหนึ่งจึงทำให้เห็นถึงพลวัตทางวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นหรือเป็นภาพสะท้อนของการผสมผสานทางวัฒนธรรมระหว่างสุโขทัยและขอม
ที่บ่งบอกว่าอย่างน้อยสังคมและวัฒนธรรมสุโขทัยย่อมรับรู้ความเชื่อทั้งศาสนาพุทธ
พราหมณ์และผีอยู่ร่วมกัน
นอกจากนี้หากพิจารณาจากงานศิลปกรรมขอม
ในด้านความต่อเนื่องของการใช้งานโดยเฉพาะศาสนาสถานจะพบว่า มีลักษณะที่ถูกใช้หรือแปรสภาพอย่างต่อเนื่องไม่ได้ถูกทิ้งร้างไปเสียทั้งหมด
กล่าวคือ
ที่เมืองสุโขทัยศาสนสถานบางแห่งได้ดำรงอยู่ควบคู่กับรัฐสุโขทัยจนถึงคราวสิ้นอำนาจ
เช่น ศาลตาผาแดง ขณะที่บางแห่ง
ก็ได้กลายสภาพไปตามระบบความเชื่อในสังคมที่เปลี่ยนไป เช่น วัดพระพายหลวง
วัดศรีสวาย ซึ่งจะเห็นได้ว่ามีการสร้างต่อเติมขึ้นทั้งสองวัด
ขณะที่ศรีสัชชนาลัยก็มีศาสนสถานที่ถูกแปรสภาพตามระบบความเชื่อของคนในสังคมเช่นเดียวกัน
อาทิ วัดเจ้าจันทร์ วัดชมชื่น และวัดมหาธาตุเชลียง
ดังนั้นแม้ว่าภายหลังสุโขทัยจะเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หินยาน)
ก็ตามแต่บทบาทของพราหมณ์ในสังคม - ราชสำนักก็ยังคงมีอยู่
(จากข้อความในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วง ภาษาเขมร)
ซึ่งก็เป็นผลมาจากวัฒนธรรมเขมรที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในท้องถิ่น
ส่วนในมิติภาพสะท้อนด้านสังคมและวัฒนธรรมจากงานอิทธิพลขอม งานชิ้นนี้ในเบื้องต้นวิเคราะห์สภาพสังคมและวัฒนธรรมไว้ 2 ประการ[26]
กล่าวคือ ประการแรก เมืองสุโขทัยเป็นเมืองที่เกี่ยวข้องกับการค้าโดยตรง
เนื่องด้วยอิทธิพลขอมที่ขยายเข้ามาในพื้นที่นั้นมุ่งด้วยจะแสวงหาผลประโยชน์ทางการค้าเป็นหลัก
ขณะเดียวกันการค้าพบเครื่องถ้วยเขมร เครื่องเคลือบสีน้ำตาล เช่น
ที่แหล่งขุดค้นวัดพระศรีรัตนมหาธาตุและหลุมขุดค้นวัดชมชื่น เมืองศรีสัชชนาลัย
ส่วนเมืองสุโขทัยก็มีการขุดค้นพบเครื่องถ้วยเขมรเครื่องเคลือบน้ำตาล
กำหนดอายุๆได้ราวพุทธศตวรรษที่ 17-18 ก็สะท้อนให้เห็นถึงหลักฐานในการติดต่อทางการค้าระหว่างสุโขทัยกับเขมร
ประการที่สองจากรูปแบบผังเมืองที่รับอิทธิพลเขมร
สะท้อนให้เห็นว่าเมืองสุโขทัยนี้นัยแง่หนึ่งก็มีความจำเป็นในการกักเก็บน้ำหรือในอีกด้านหนึ่งวิถีชีวิตของคนในพื้นที่นี้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปได้ที่จะเกี่ยวข้องกับการทำเกษตรกรรม
เนื่องจากมีการกล่าวถึงในศิลาจารึกหลักที่ 1 เรื่องความอุดมสมบูรณ์
(เช่น ในน้ำมีปลาในนามีข้าว... ป่ามะม่วง ป่าหมาก ป่าพลู เป็นต้น) ด้วยเหตุนี้จึงอาจกล่าวได้ว่าสังคมสุโขทัยเป็น
“สังคมเกษตรกรรม” ขณะเดียวกันแนวคิดแบบขอมในการทำผังเมืองผสมกับแนวคิดท้องถิ่นในการทำคันกั้นน้ำเพื่อควบคุมการไหลของน้ำหรือกักเก็บน้ำ
ทำให้เกิดข้อสันนิษฐานที่ ศรีศักร วัลลิโภดม
ตั้งข้อสังเกตไว้ว่าบริเวณที่มีคันดินล้อมรอบนี้อาจเป็นพื้นที่ปลูกข้าวภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ
เรียกว่า “เขตนาหลวง”[27]
ประการที่สาม
: ด้าน“การเมือง - ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐ”
หลักฐานทางศิลปกรรมขอมที่ปรากฏในบริเวณพื้นที่สุโขทัยและศรีสัชชนาลัย
สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างขอมกับกลุ่มคนในสุโขทัยได้อย่างชัดเจน
กล่าวถึงกลุ่มขอมที่เข้ามามีบทบาทและอำนาจในพื้นที่นี้คือกลุ่มบุคคลที่มีวัฒนธรรมขอม
เรียกว่า ขอมสบาดโขลญลำโพง ปรากฎในจารึกหลักที่ 2 จารึกวัดศรีชุม ความหมายคือ ขอมสบาด
หมายถึง เขมรดง ขณะที่โขลญลำพง หมายถึง
คำสำหรับเรียกคนทำงานประจำเทวสถานหรือวัดว่าอาราม สำหรับบริบทนี้ ขอมสบาดโขลญลำพง
น่าจะหมายถึง หมายถึงหัวหน้ากลุ่มของพวกเขมรป่าดงที่มีคนอุทิศกลุ่มคนเหล่านี้ไว้ตามศาสนาสถาน
หรือ
อีกความหมายหนึ่งอาจหมายถึงพ่อค้าในสังกัดของรัฐขอมที่คอยเก็บส่วยในที่ห่างไกลจากเมืองหลวง[28] อันเนื่องมาจากปัจจัยทางเศรษฐกิจดังที่ได้กล่าวมาในข้างต้น[29] โดย
รูปแบบหนึ่งของการปกครองพื้นที่ห่างไกลของขอมคือ การแต่งตั้งตัวแทนไปปกครองตามท้องถิ่น
คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ให้กษัตริย์ขอมในจารึกขอมมีการกล่าวถึง
พ่อค้าที่เป็นตัวแทนของรัฐขอมในท้องถิ่นว่า “โขลญ จังวาล”
และพ่อค้าขอมที่สัญจรไปยังพื้นที่ต่างๆ ว่า “โขลญ จังวาล วานิก”คอยเก็บเงิน,
ทรัพยากรและของมีค่าต่างๆกลับไปที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงเกิดการตั้งสถานีการค้าตามแหล่งชุมชนต่างๆในเส้นทางการค้า
โดยมุ่งประโยชน์ทางเศรษฐกิจ[30]
ขณะเดียวกันขอมสบาดโขลญลำพงอาจจะหมายถึงลพบุรีหรือลวปุระซึ่งเป็นศูนย์กลางอำนาจของขอมในตอนนั้นด้วยเช่นกัน
โดยหากอิงจากหลักฐานในจดหมายเหตุพงศาวดารจีนสมัยราชวงศ์สุ้ง พ.ศ. 1503-1670
จะพบว่ามีการกำหนดชื่อรัฐละโว้ซึ่งนับถือพุทธมหายานว่า “หลอหู”
และกำหนดชื่อดินแดนตอนบนลุ่มน้ำยม-น่านไว้ว่า “เฉิงเหลียง” ซึ่งอาจหมายถึง
เมืองเชลียง ก็เป็นได้ อย่างไรก็ตามนักประวัติศาสตร์ อาทิ สุจิตต์ วงศ์เทศ
ได้เสนอว่า สาเหตุหนึ่งที่กลุ่มขอมสบาดฯเข้ามายึดครองในพื้นที่นั้นอาจเป็นผลมาจากการสร้างวัดมหาธาตุกลางเมืองสุโขทัยและหันไปให้ความสำคัญกับคติพุทธศาสนาเถรวาท
แทนการสร้างเทวลัยฝ่ายฮินดูหรือพุทธศาสนาฝ่ายมหายานจึงเป็นเหตุให้ขอมสบาดโขลญลำพงยกกองทัพเข้าตีเมืองสุโขทัย[31] แต่ถึงกระนั้นก็ตามภาพสะท้อนของความสัมพันธ์ระหว่างขอมกับสุโขทัยนั้น
อาจกล่าวได้ว่าในระยะแรกคือกลุ่มคนในวัฒนธรรมขอมมีอำนาจปกครองพื้นที่สุโขทัยและศรีสัชชนาลัย
ระยะต่อมาคือความขัดแย้งและการปลดแอกตนเองของรัฐสุโขทัยออกอำนาจทางการเมืองของขอมแต่ไม่ได้ปฏิเสธวัฒนธรรมขอมเสียทั้งหมด
บทวิเคราะห์
จากภาพสะท้อนของงานศิลปกรรมในวัฒนธรรมเขมรที่ได้กล่าวมาในข้างต้นสามารถวิเคราะห์ให้เห็นถึงอิทธิพลเขมรในสุโขทัยได้
2
ประการ กล่าวคือ ประการแรก สะท้อนให้เห็นว่า
การแพร่กระจายทางวัฒนธรรม (cultural diffusion)
จากศูนย์กลางทางวัฒนธรรมนั้นมีความเข้มข้นเป็นอย่างมาก กล่าวคือ หากพิจารณาจากศาสนสถานที่สร้างตามระเบียบแบบขอม
เช่น ปราสาทเขาปู่จ่าและโบราณวัตถุที่ขุดค้นพบ ซึ่งบ่งบอกถึงความเข้มข้นของวัฒนธรรมเขมรที่แพร่กระจายมาโดยตรงในพื้นที่สุโขทัย
หรือ อีกแง่หนึ่งสุโขทัยคงเป็นพื้นที่หนึ่งที่ได้รับวัฒนธรรมเขมรโดยตรง
ซึ่งอาจเป็นผลมาจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มวัฒนธรรมเขมรภายใต้นโยบายการขยายเส้นทางการค้า
ประการที่สอง การเกิดขึ้นวัฒนธรรมรัฐสุโขทัยนั้นมีรากฐานหนึ่งที่สำคัญคือ
วัฒนธรรมเขมร แม้ว่าต่อมาทางสุโขทัยจะหลุดจากอำนาจทางการเมืองของขอมแล้วก็ตาม หากแต่ก็มิได้ปฏิเสธวัฒนธรรมเขมรที่ปรากฏอยู่ก่อนแล้ว
อีกทั้งยังได้นำมาผสมผสานปรับใช้ให้เข้ากับสังคมและวัฒนธรรมของตน เช่น
ในเงื่อนไขบริบททางสภาพแวดล้อมที่ก่อให้เกิดระบบการจัดการน้ำโดยมีรูปแบบของอิทธิพลขอมผสมกับท้องถิ่น
เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นผู้นำในท้องถิ่น (รัฐสุโขทัย)
ยังได้มีการเลือกรับวัฒนธรรมที่มีอยู่แต่เดิมในการนำมาปรับให้เข้ากับการดำรงอยู่ของตน
เช่น การยอมรับศาสนาพราหมณ์ที่สืบเนื่องมาตั้งแต่ช่วงที่กลุ่มขอมมีอำนาจ
เห็นได้ชัดจากรัชสมัยของพระยาลิไทเป็นต้น
อย่างไรก็ตามก็มีการปฏิเสธบางความเชื่อที่ไม่ได้ก่อให้เกิดผลบวกแก่รัฐ เช่น
ความเชื่อพุทธศาสนา นิกายมหายาน หากแต่หันไปรับพุทธศาสนา นิกายเถรวาทจากลังกาแทน
บทสรุป
จากการนำเสนอในข้างต้นทั้งหมดได้ทำให้เห็นว่า
งานศิลปกรรมขอมที่ปรากฎในพื้นที่นั้นสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลทางการเมืองของขอมที่เข้ามาปกครองในพื้นที่สุโขทัยและศรีสัชนาลัย
ขณะเดียวกันการแพร่กระจายทางวัฒนธรรมขอมดังกล่าวสำหรับคนในท้องถิ่นนั้นก็ไม่ได้กลายเป็น
“ขอม” ไปเสียทั้งหมดหากแต่ได้มีการผสมผสานทางวัฒนธรรมหรือมีการแลกรับปรับใช้ระหว่างวัฒนธรรมจนท้ายสุดวัฒนธรรมเขมรได้กลายเป็นรากฐานหนึ่งของวัฒนธรรมรัฐสุโขทัยในเวลาต่อมา
อ้างอิง
หนังสือ:
กรมศิลปากร.
ประชุมจารึกภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2548.
ธิดา สาระยา. ประวัติศาสตร์สุโขทัย
:
พลังคน อำนาจผี บารมีพระ.
กรุงเทพฯ:
เมืองโบราณ, 2544.
__________ เมืองศรีสัชชนาลัย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2537.
รุ่งโรจน์
ธรรมรุ่งเรือง และ ศานติ ภักดีคำ. ศิลปะเขมร. กรุงเทพฯ: มติชน 2557.
ศักดิ์ชัย สายสิงห์.
ศิลปะสุโขทัย : บทวิเคราะห์หลักฐานโบราณ
จารึกและศิลปกรรม.กรุงเทพฯ :
สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2547.
ศรีศักร วัลลิโภดม. เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย.
กรุงเทพฯ:
เมืองโบราณ, 2552.
สันติ
เล็กสุขุม. ศิลปะสุโขทัย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ:
เมืองโบราณ, 2555.
สุจิตต์
วงษ์เทศ. กรุงสุโขทัย มาจากไหน. กรุงเทพฯ: มติชน, 2548.
สารนิพนธ์และงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง:
วิราวรรณ
สมพงษ์เจริญ. คติความเชื่อของคนไทยสมัยสุโขทัย
พ.ศ. 1726 – พ.ศ. 2006.
งานค้นคว้าอิสระส่วนหนึ่งตามหลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา 2550
บทความ:
พิพัฒน์
กระแจะจันทร์. “สุโขทัยกับอาเซียน มองประวัติศาสตร์สุโขทัยสองแนว” ใน สุโขทัย
กับอาเซียน : มองปัจจุบันผ่านอดีตจากมิติประวัติศาสตร์
ศิลปะ โบราณคดี. ปทุมธานี: คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558.
ภาณุวัฒน์
เอื้อสามาลย์. “ขุดรอยเขมรที่ปราสาทตาผาแดง
เมืองสุโขทัย การขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์การใช้พื้นที่”. ใน สุโขทัย กับอาเซียน : มองปัจจุบันผ่านอดีตจากมิติประวัติศาสตร์ ศิลปะ
โบราณคดี. ปทุมธานี: คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558,
หน้า 127.
รุ่งโรจน์
ภิรมย์นุกูล. “ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ช่วงหลังสิ้นรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7” ใน หนังสือเสวนาเรื่อง “ยุคมืดของประวัติศาสตร์ไทย หลังบายน พุทธเถรวาท
การเข้ามาของคนไท” จัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน
พ.ศ. 2557 เวลา 8.00-16.30 น.ณ
ห้องประชุมริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์.
สันติ เล็กสุขุม.
“”เจดีย์บริวารประจำทิศทั้งแปดและพระศรีมหาธาตุ วัดพระศรีมหาธาตุ สุโขทัย”,
เมืองโบราณ, 27, 3, (กรกฎาคม – กันยายน 2544): 44-58.
[1] รุ่งโรจน์ ธรรมรุ่งเรือง และ ศานติ ภักดีคำ. ศิลปะเขมร. กรุงเทพฯ:
มติชน 2557, หน้า 12.
[2]สำหรับเมืองลพบุรี
หรือ ลวปุระ นั้นดูเสมือนว่าจะเป็นเมืองที่ทางราชสำนักเขมรให้ความสำคัญ
อาจเนื่องด้วยเป็นเมืองที่เป็นฐานอำนาจของเขมรในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา กล่าวคือ
พระเจ้าชัยวรมันที่ 7
ได้ส่งพระโอรสของพระองค์มาปกครอง ทรงนามว่า อินทรวรรมัน
อีกนัยหนึ่งนอกเหนือจากการสะท้อนอำนาจทางการปกครองของกษัตริย์เขมรแล้ว
ยังอาจหมายถึงการสร้างความสัมพันธ์ทางเครือญาติกับเมืองละโว้
[3] รุ่งโรจน์ ภิรมย์นุกูล. “ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา
ช่วงหลังสิ้นรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7” ใน
หนังสือเสวนาเรื่อง “ยุคมืดของประวัติศาสตร์ไทย หลังบายน พุทธเถรวาท
การเข้ามาของคนไท” จัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557 เวลา 8.00-16.30 น.ณ ห้องประชุมริมน้ำ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์,
หน้า 68.
[4] ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะสุโขทัย : บทวิเคราะห์หลักฐานโบราณ
จารึกและศิลปกรรม.กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร,
2547, หน้า 13.
[5] อย่างไรก็ตาม
หลักฐานที่เกี่ยวข้องกับศิลปกรรมเขมรในช่วงศิลปะเขมรแบบบาปวนนั้นยังคงมีไม่มากพอที่จะยืนยันหรือสามารถกำหนดช่วงเวลาการเข้ามาของกลุ่มขอมในพื้นที่สุโขทัย
[6] ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะสุโขทัย : บทวิเคราะห์หลักฐานโบราณ
จารึกและศิลปกรรม.กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร,
2547, หน้า 14-15.
[7] เรื่องเดียวกัน, หน้า 45.
[8] สันติ เล็กสุขุม. ศิลปะสุโขทัย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ,
2555, หน้า 44.
[9] ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะสุโขทัย : บทวิเคราะห์หลักฐานโบราณ
จารึกและศิลปกรรม.กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร,
2547, หน้า 14-15.
[10]หากแต่ในระยะเวลาต่อมาได้แปรสภาพเป็นพุทธศาสนสถาน
ด้วยการสร้างวิหารด้านหน้าประดิษฐานพระพุทธรูป
โดยสันนิษฐานว่าน่าจะเปลี่ยนสภาพในสมัยพ่อขุนรามคำแหงที่มีการเปลี่ยนมานับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทหรือหินยาน
หรือ อีกประการหนึ่งในช่วงก่อนการเกิดขึ้นของสุโขทัยศาสนสถานหลังนี้อาจสร้างค้างไว้ถึงส่วนของเรือนธาตุ
และภายหลังจากการเกิดขึ้นของสุโขทัยได้สร้างส่วนยอดต่อขึ้นไป
เนื่องจากรูปแบบส่วนยอดนั้นมีลักษณะที่คลี่คลายไปจากชั้นส่วนบนของศิลปะแบบเขมรไปมาก
รวมทั้งคลี่คลายมากกว่าเจดีย์ประจำทิศที่วัดมหาธาตุ สุโขทัย ด้วยเช่นกัน
ขณะที่รูปนางอัปสรา ครุฑยุดนาคและนาคโคนกรอบซุ้มที่มุมบนของเรือนธาตุก็ยังคงสะท้อนให้เห็นถึงอิทธิพลขอมอยู่บ้าง
[11] พิพัฒน์ กระแจะจันทร์. “สุโขทัยกับอาเซียน
มองประวัติศาสตร์สุโขทัยสองแนว” ใน สุโขทัย กับอาเซียน :
มองปัจจุบันผ่านอดีตจากมิติประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดี. ปทุมธานี: คณะศิลปศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558, หน้า 24.
[12] เรื่องเดียวกัน , หน้า 26.
[13] สันติ เล็กสุขุม. ศิลปะสุโขทัย. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ,
2555, หน้า 54.
[14] สันติ เล็กสุขุม. “”เจดีย์บริวารประจำทิศทั้งแปดและพระศรีมหาธาตุ
วัดพระศรีมหาธาตุ สุโขทัย”, เมืองโบราณ, 27, 3, (กรกฎาคม – กันยายน 2544):, หน้า 48.
[15] ศักดิ์ชัย สายสิงห์. ศิลปะสุโขทัย : บทวิเคราะห์หลักฐานโบราณ
จารึกและศิลปกรรม.กรุงเทพฯ : สถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร,
2547, หน้า 99.
[17] เรื่องเดียวกัน, หน้า 43.
[18] ศรีศักร วัลลิโภดม. เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2552 หน้า 63 – 67.
[19]ในสังคมดั้งเดิมล้วนแล้วแต่มีระบบความเชื่อที่มีการนับถือ
สิ่ง/อำนาจเหนือธรรมชาติ (super
natural) หรือที่เรียกว่า “ผี” (animism) โดยเป็นการนับถือผีที่อยู่ตามธรรมชาติรอบๆตัว
ซึ่งขึ้นอยู่กับบริบททางสภาพแวดล้อมนั้นๆ เช่น ผีป่า ผีถ้ำ ผีแม่น้ำ ผีภูเขา
และยังรวมไปถึงผีบรรพบุรุษ ผีปู่ ผีตายาย ผีปู่ตา ฯลฯ ดังนั้นในประเด็นเรื่องความเชื่อของคนสุโขทัย
ธิดา สาระยา ได้สะท้อนให้เห็นว่าการรับศาสนาเข้ามาปรับใช้ในพื้นที่ย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านความเชื่ออยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะลำดับชั้นของผีในความเชื่อของคนในท้องถิ่นและก่อให้เกิดการจัดแบ่งประเภทและการแยกออกจากกันทางพื้นที่
(โลก สวรรค์ นรก) ระหว่างผีกับมนุษย์ด้วยเช่นกัน
[20] ธิดา สาระยา. ประวัติศาสตร์สุโขทัย : พลังคน อำนาจผี
บารมีพระ. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2544, หน้า 22
[21] กรมศิลปากร. ประชุมจารึกภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2548, หน้า 165.
[22]จารึกหลักที่
64 ด้านที่ 1 บรรทัดที่ 4-7 ข้อความต้นฉบับ “...ผิปํเสจจาคำ (ชิไสพาคม)
อนัพนไปจงญาใหรูจกัชิฝูงพระพุ สาสนาทงัไสพาคมกํญาใหรูจกัสาสตรตดัคแล...
”
[23] วิราวรรณ สมพงษ์เจริญ. คติความเชื่อของคนไทยสมัยสุโขทัย
พ.ศ. 1726 – พ.ศ. 2006.
งานค้นคว้าอิสระส่วนหนึ่งตามหลักสูตรปริญญาอักษรศาสตรมหาบัณฑิต
สาขาวิชาประวัติศาสตร์ศึกษา ภาควิชาประวัติศาสตร์ บัณฑิตวิทยาลัย
มหาวิทยาลัยศิลปากร ปีการศึกษา 2550, หน้า 96.
[24] กรมศิลปากร. ประชุมจารึกภาคที่ ๘ จารึกสุโขทัย. กรุงเทพฯ: กรมศิลปากร, 2548, หน้า 290.
[25] ภาณุวัฒน์ เอื้อสามาลย์. “ขุดรอยเขมรที่ปราสาทตาผาแดง เมืองสุโขทัย
การขุดค้นทางโบราณคดีเพื่อศึกษาประวัติศาสตร์การใช้พื้นที่”. ใน สุโขทัย
กับอาเซียน : มองปัจจุบันผ่านอดีตจากมิติประวัติศาสตร์ ศิลปะ โบราณคดี. ปทุมธานี:
คณะศิลปศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2558, หน้า 127.
[26]อย่างไรก็ตามผู้ศึกษาเชื่อว่ายังมีอีกหลายกรณีตัวอย่างจากงานศิลปกรรมตลอดจนหลักฐานทางโบราณคดีที่เกี่ยวข้องกับอิทธิพลเขมรในการตีความวิเคราะห์สภาพสังคมและวัฒนธรรมของสุโขทัยและศรีสัชชนาลัย
[27] ศรีศักร วัลลิโภดม. เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2552 หน้า74.
[28] ธิดา สาระยา. ประวัติศาสตร์สุโขทัย : พลังคน อำนาจผี
บารมีพระ. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2544, หน้า 16.
[30] ธิดา สาระยา. เมืองศรีสัชชนาลัย. กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ,
2537, หน้า 61- 67.
[31]
สุจิตต์ วงษ์เทศ. กรุงสุโขทัย มาจากไหน. กรุงเทพฯ: มติชน, 2548, หน้า 82.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น