นายจันษร
โจรธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา
เมื่อกล่าวถึง
“โจร” ที่ปรากฏในเรื่องขุนช้างขุนแผน
ฉบับวัดเกาะ ในตอน “เรื่องพ่อแม่ของคนทั้งสาม”
ปรากฏ ขุนโจรชื่อ “นายจันษร”
ในสายตาของนักอ่านทั่วไป อาจจะมองว่าเป็นตัวละครหนึ่ง ที่ไม่มีความสำคัญ
แต่เมื่อพิจารณาให้ดี
นายจันษรเป็นตัวละครที่ส่งผลต่อการดำเนินเรื่องและสะท้อนภาพของโจรในอดีตได้ดียิ่ง
ในเรื่องดังกล่าวนายจันษรมีถิ่นอาศัยอยู่ที่บ้านโป่งแดง
เป็นที่ยอมรับนับถือกันในหมู่โจรในผู้นำในการปล้น
อีกทั้งมีอุปนิสัยความเป็นผู้นำและมีความรู้ในสรรพวิชาต่างๆ ทั้งทางด้าน พิธีกรรม
การต่อสู้และเวทมนตร์คาถา
วันหนึ่งได้นำพรรคพวกเข้าปล้นบ้านขุนศรีวิชัยผู้เป็นบิดาของขุนช้างและฆ่าขุนศรีวิชัยตายในที่สุด
หากนายจันษรไม่เข้ามาปล้นและฆ่าขุนศรีวิชัยตาย
เรื่องราวของตัวละครที่เกี่ยวข้องอาจจะดำเนินชีวิตไปตามปกติ
กล่าวคือตัวขุนศรีวิชัย จะได้สั่งสอนเตือนสติขุนช้าง
ไม่ให้ไปเอาภรรยาคนอื่นมาเป็นของตน ดังกรณีที่ขุนช้างขอนางพิมพิลาไลย
จนต้องมีความถึงพระพันวษาอยู่เป็นนิจ ทั้งนี้เพราะตัวขุนศรีวิชัย มีความเป็นผู้นำ
คือเป็นหัวหน้าครอบครัว เมื่อขุนศรีวิชัยตายลง
หน้าที่ดูแลจึงตกเป็นของนางเทพทองผู้เป็นมารดาของขุนช้าง
ตัวขุนช้างจึงได้รับการเลี้ยงดูอย่างสุขสบาย
ทำให้คิดว่าเงินทองสามารถซื้อได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งพรากนางพิมพิลาไลยมาจากขุนแผน
โดยไม่สนใจว่าจะผิดศีลธรรมหรือไม่
ผู้แต่งพยายามสอดแทรกวิถีชีวิตของผู้คนในสมัยนั้น
โดยการนำเรื่องราวของโจรมาผนวกไว้ในเรื่อง เพื่อให้เรื่องราวมีสีสันและรสชาติมากยิ่งขึ้นถึงแม้ว่าตัวละครดังกล่าวไม่ได้มีบทบาทเด่นชัดนัก
แต่ผู้แต่งสามารถสะท้อนภาพสังคมในยุคนั้นให้เห็นว่า โจรได้เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว
หากมองอุปนิสัยของนายจันษรจะพบว่าไม่ใช่โจรธรรมดาด้วยที่มีความเป็นผู้นำและมีความรอบรู้ต่างๆ
แถมยังกล้าต่อกรกับขุนศรีวิชัย ที่มีอำนาจเป็นถึงขุนนาง ตรงนี้อาจเป็นภาพสะท้อนความเสื่อมของระบบราชการที่ไม่สามารถจัดการผู้คนได้
สุเนตร ชุตินธรานนท์กล่าวว่า ไพร่ต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการแย่งชิงอำนาจหรือแข็งข้อต่อกษัตริย์ที่ส่วนกลางมีปัจจัยมาจากปัญหาความอ่อนแอทางการเมืองและปัญหาเศรษฐกิจสังคมอันเกิดจากภาวะสงคราม
ข้าวยากหมากแพง ตลอดไปจนถึงความทุกข์ยากของไพร่ภายใต้ระบบศักดินาเป็นสำคัญ เช่น
การก่อกบฏของไพร่ในสมัยอยุธยาที่สำคัญ คือ กบฏญาณพิเชียร เป็นชื่อบุคคลว่า
“วิเชียร” มีความรู้ทางศาสตราคม สาเหตุของก่อกบฏมาจากปัญหาด้านการเกษตร อาศัยกำลังของพวกชาวนาเป็นสำคัญ
มีการเตรียมงานและวางแผนทางยุทธศาสตร์อย่างมีขั้นตอน
ต่อมาคือกบฏธรรมเถียรเกิดขึ้นในรัชกาลพระเพทราชามีผู้นำกบฏเป็นข้าหลวงเดิมของเจ้าฟ้าอภัยทศได้รวบรวมชาวชนบทเข้าร่วมเพื่อแย่งชิงอำนาจ
จากความไม่พอใจในสภาวะที่เป็นอยู่และต้องการจะเลื่อนฐานะทางสังคมให้ดีขึ้น
สุดท้ายคือกบฏบุญกว้าง เกิดขึ้นในรัชกาลของพระเพทราชาอีกเช่นกัน
แต่กบฏครั้งนี้เกิดขึ้นในท้องถิ่นที่ห่างไกลจากส่วนกลาง เพราะเป็นกบฏที่เกิดขึ้นที่เมืองนครราชสีมา
เกิดภายใต้สภาวะแวดล้อมและปัจจัยที่แปลกออกไปโดยเฉพาะเงื่อนไขทางสังคม
ซึ่งรวมถึงลักษณะของประชากรลักษณะวัฒนธรรมและความเชื่อของท้องถิ่นนั้นๆ
กบฏทั้งสามครั้งที่เกิดขึ้นในสมัยอยุธยานั้น
หากพิจารณาโดยผิวเผินแล้ว ก็ย่อมทำให้เกิดความเข้าใจว่า เป็นกบฏที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน
เช่นมีผู้นำที่เป็นชาวบ้านที่เคยบวชเรียนมาก่อนและได้ใช้ความรู้ในทางพุทธและไสยศาสตร์มาเป็นเครื่องมือในการรวบรวมผู้คนเพื่อก่อการกบฏ
ดังนั้นนายจันษรคงมีสถานะเป็นเพียงไพร่ผู้หนึ่งที่ประสบปัญหาทางสังคม
จากการที่ต้องทำมาหากินกับเกษตรกรรมและต้องรับใช้เจ้าขุนมูลนาย
จึงเกิดการรวมกลุ่มขึ้นเป็นซ่องโจร ในยามว่างเว้นจากการงาน ชักชวนสมัครพรรคพวก
เข้าปล้น ดังที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เล่าไว้ในหนังสือนิทานโบราณคดี
และหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เล่าไว้ในหนังสือขุนช้างขุนแผนฉบับอ่านใหม่ว่า “การขโมยเป็นกีฬาชนิดหนึ่ง ที่ท้าทายทั้งเจ้าของบ้านและทางการ”หรือก่อนปล้นจะ“ป่าวประกาศล่วงหน้าว่าจะปล้น”(ขุนช้างขุนแผนฉบับวัดเกาะ
:
หน้า 30 )
ประเด็นที่น่าสนใจ คือ
การปล้นของนายจันษร ไม่ใช่ปล้นอย่างธรรมดาทั่วไป
แต่ปล้นด้วยการใช้วิชาความรู้ที่มีมา ตรงนี้ยังสะท้อนว่า ตัวของนายจันษร
ได้ร่ำเรียนวิชามาเป็นอย่างดี เพราะรอบรู้การต่อสู้ การประกอบพิธีกรรมและคาถาต่างๆ โดยเฉพาะตัวจันษรมีสถานะเป็นผู้มีครูในอาชีพโจร
ดังปรากฏในตอนจันษรปลูกศาลระลึกถึงครู ก่อนจะเข้าปล้นว่า “นายจันษรตั้งนะโมวันทา... ครูบาอาจาริย์ชำนาญฤทธิ์…”(เรื่องเดียวกัน : หน้า 30 )
ในส่วนของวิชาอยู่ยงคงกระพันและคาถาอาคม
แน่นอนว่าจันษรรอบรู้มาเป็นอย่างดี ดังในตอนที่ฆ่าขุนศรีวิชัยไม่ตาย เพราะตัวขุนศรีวิชัยมีวิชาเช่นกัน
จันษร “จึงเอาหลาวตำรูทวารเข้าไป
ขุนศรีวิชัยจึงดับจิตร์”(เรื่องเดียวกัน :
หน้า 34 )
หรือแม้แต่การประลองของกันในพรรคพวกตน
ที่ชำนาญเป็นแน่แท้ตนสามารถใช้ไสยศาสตร์มาเป็นเกราะป้องกันตนได้
ดังตอนที่ประลองของกับหมู่โจร ที่กำลังสำราญกับการดื่มสุราว่า “ครั้นเมาแล้วฟันกันเปนจ้าละหวั่น
ตึงเปล่าไม่เข้าเหล่าขโมยนั้น...ถูกกันไม่เข้าเปล่าทุกตึง...”(เรื่องเดียวกัน
: หน้า 30 )
นอกจากวิชาการประกอบพิธีกรรม
วิชาคงกระพันและคาถาอาคม จันษรยังมีความชำนาญในการรบด้วยศาสตราวุธ ดังตอนรบกันกับขุนศรีวิชัย
ที่ว่า
“เล่นจนหอกต่อหอกเปนประกาย
ทั้งสองนายฤทธาทั้งกล้าหาญ
ดาบต่อดาบเข้าประทะระราน
ทนทานระหดไม่งดกัน”
(เรื่องเดียวกัน :
หน้า 34 )
ทั้งอุปนิสัยและวิชาความรู้ที่มีรอบด้านของจันษร
และเป็นที่ยอมรับกันในหมู่โจร
ทำให้จันษรกล้าที่จะนำพรรคพวกตนไปต่อกรกับขุนศรีวิชัย
ซึ่งมีฐานะเพียบพร้อมไปด้วยกำลังทรัพย์และบริวาร อาจกล่าวได้ว่า นายจันษร
ไม่ได้เป็นเพียงโจรสามัญทั่วไป แต่ด้วยคุณสมบัติที่ดีกว่า ทำให้ตัวจันษรได้ก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าโจร
และสามารถเป็นผู้นำการปล้นครั้งใหญ่ได้สำเร็จ
หากมองบริบทความเป็นโจรระหว่างยุคปัจจุบันกับโจรสมัยโบราณ
โดยมองผ่านจันษร จะเห็นถึงความแตกต่างหลายประการ ประการแรกคือ
โจรสมัยโบราณเป็นโจรที่มีสรรพวิชาความรู้มากมาย ทั้งคาถาอาคม การประกอบพิธีกรรม
ประการที่สอง สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ
เล่าไว้ในหนังสือนิทานโบราณคดีเกี่ยวกับโจรว่าสมัยโบราณถือว่าการปล้นเป็นกิจกรรมยามว่างเว้นจากการงานและเป็นกีฬาเพื่อความบันเทิงชนิดหนึ่ง
ประการที่สาม บุคลิกและการวางตัวของโจรในสมัยโบราณ
จะมีความกล้าหาญ มีสภาวะความเป็นผู้นำสูง
และประการสุดท้ายหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์
ปราโมช ได้เล่าไว้ในหนังสือขุนช้างขุนแผนฉบับอ่านใหม่ว่าโจรสมัยโบราณมีการป่าวประกาศล่วงหน้าว่าจะปล้น
เพื่อเป็นการท้าทายทั้งเจ้าของบ้านและทางการ แสดงถึงศักดิ์ศรีในความเป็นโจร
ใครหลายคนมักมองว่าโจรไม่ว่าสมัยไหน
ต้องสวมบทบาทในมาดของความโหดร้ายน่ากลัว แต่หากพิจารณาโจรในแต่ละยุคสมัย
จะพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมาก โจรสมัยก่อนถือเป็นอาชีพหนึ่งที่คนในสังคมโบราณ
ไม่ได้มองว่าเป็นเพียงมิจฉาชีพหนึ่งในสังคมปัจจุบัน ดังกรณีของนายจันษร
ในเรื่องขุนช้างขุนแผน ฉบับวัดเกาะ ถือเป็นตัวละครหนึ่งที่ไม่ได้มีบทบาทที่เด่นชัด
แต่ผู้แต่งได้สร้างตัวละครนี้ขึ้นมาเพื่อแสดงวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของผู้คนยุคนั้น
โดยพยายามสอดแทรกเรื่องราวของวิถีของโจร ผ่านตัวละครที่มีชื่อว่า “นายจันษร”ไว้นั่นเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น